วันพุธที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2553

อันดับที่ 10 Khaju Bridge -- อิหร่าน



The Khaju Bridge อยู่ที่ประเทศอิหร่าน เป็นเขื่อนที่สร้างขึ้นเมื่อศตวรรศที่ 17

อันดับที่ 9 Pont du Gard -- ฝรั่งเศส


Pont du Gard อยู่ที่ตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส สร้างขึ้นเมื่อ 63 - 12 BC

อันดับที่ 8 Bridge of Sighs -- อิตาลี


Bridge of Sighs อยู่ที่เมืองเวนิซ ประเทศอิตาลี่ เป็นสะพานเชื่อมระหว่างห้องสัมภาษณ์นักโทษกับคุก ชื่อสะพานมาจากที่นักโทษจะถอนหายใจตอนเดินผ่านสะพานจ ากห้องสัมภาษณ์ไปสู่คุก และมองวิวผ่านหน้าต่างเหล็กเพราะรู้ว่าจะเป็นครั้งสุ ดท้ายที่จะได้เห็นโลก ภายนอก...

อันดับที่ 7 Iron Bridge -- อังกฤษ




อันดับที่ 6 Covered Bridges -- แคนาดา



หรืออีกชื่อเรียกว่า Kissing bridge อยู่ที่เมือง ontorio ประเทศแคนนาดา

อันดับที่ 5 Ponte Vecchio -- อิตาลี



Ponte Vecchio อยู่ที่เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี นอกจากจะเป็นสะพาน ยังเป็นถนนช็อปปิ้งอีกด้วย

อันดับที่ 4 The Wind and Rain Bridge -- จีน



อยู่ที่ประเทศจีน อายุประมาณ 100 ปี สร้างขึ้นมาโดยไม่ใช้ตะปูเลย!!

อันดับที่ 3 Brooklyn Bridge --นิวยอร์ก ประเทศอเมริกา



อันดับที่ 2 Tower Bridge --ลอนดอน ประเทศอังกฤษ




อันดับที่ 1 Golden Gate Bridge --เมืองซานฟรนซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศอเมริกา








ที่มา : http://www.thaigaming.com/forward-mail/56404.htm

วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

คิดว่าใครที่ทำงานทางด้านคอมพิวเตอร์ คงจะคุ้นกับคำว่าแฮกเกอร์เป็นอย่างดี(หรือว่าบางคนอาจจะเป็นซะเอง ) ส่วนตัวเราเองรู้จักกับคำว่า แฮกเกอร์เป็นครั้งแรกก็เมื่อหลายปีมาแล้ว รู้สึกว่าจะอ่านการ์ตูนหรือนิยายวิทยาศาสตร์สักเรื่องหนึ่ง(จำชื่อไม่ได้) ในเรื่องได้อ้างถึงแฮกเกอร์คนหนึ่ง และมีคำพูดประกอบประมาณว่า พวกแฮกเกอร์นั้นมักจะเป็นพวกที่กระหายในข้อมูลเป็นอย่างมาก พวกเค้าต้องการรู้ในข้อมูลที่มากกว่าและลึกกว่าคนอื่น จึงได้ทำการแฮ็กเข้าไปในระบบเพื่อให้ได้ข้อมูลต่างๆที่ต้องการมา เราไม่ยืนยันว่า คำนิยามที่กล่าวในหนังสือเล่มนั้นถูกหรือผิด แต่เราแค่เกิดความสงสัยขึ้นมาอย่างนึงว่า อะไรฟะ คนเรามันจะต้องการข้อมูลอะไรมากมายขนาดนั้น แค่ทุกวันนี้รับข้อมูลจากการอ่านหนังสือเรียน(ตอนนั้นเรียนมัธยม) ก็รับไม่ไหวอยู่แล้วเฟ้ย เวอร์ซะไม่มีคนประเภทนี้นี่ แต่พอมาถึงปัจจุบัน ในโลกแห่งข้อมูลข่าวสาร เรากลับเป็นพวกที่กระหายในข้อมูลซะเอง 555(เป็นงั้นไป) เพราะข้อมูลถือเป็นสิ่งสำคัญ คนเราจะทำอะไร ถ้ามีข้อมูลอยู่ในมือมากเพียงพอก็จะทำให้ลดความผิดพลาดในการตัดสินใจลงไปได้มาก และบางครั้งข้อมูลนั้นก็อาจเป็นประโยชน์หรือกลายเป็นเงินเป็นทองขึ้นมาถ้ารู้จักนำไปใช้(แต่ดิชั้นก็ยังทำไม่ได้ซักที ฮ่าๆ)
ถึงดิฉันจะไม่เคยคิดที่จะเป็นแฮกเกอร์ แต่ก็มีความสนใจในเรื่องนี้อยู่บ้าง เพราะเรามีความรู้สึกว่า พวกนี้จริงๆแล้วเป็นพวกที่มี logic การคิดไม่เหมือนคนอื่น(จากตำราของดิชั้นเอง อย่าถือเป็นเรื่องจริงจัง) เพราะจากหลายๆนิยามที่มีคนให้ไว้ ต่างก็บอกไว้ในทำนองเดียวกันว่า พวกแฮกเกอร์นั้นมักจะเป็นบุคคลที่มีความรู้ในเรื่องระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี(ถึงดีมาก) พวกเขาจะนำความรู้พื้นฐานที่คนอื่นมองว่าธรรมดามาประยุกต์ใช้ เพื่อให้เกิดแนวความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆเกิดขึ้น ซี่งเรื่องแบบนี้ ถ้าไม่ใช่คนที่คิดอะไรต่างออกไปจากคนอื่น ก็คงทำไม่ได้นะเออ
ถ้าอยากรู้ว่าพวกนี้มีความคิดสร้างสรรค์อย่างไร ลองอ่านจากประวัติของ 10 สุดยอดแฮกเกอร์ระดับโลกเหล่านี้ดูสิคะ
1.Robert Tappan Morris



สิ่งที่น่าสนใจ-ชื่อในวงการของเขาคือ rtm และเป็นลูกชายของหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ใน National Computer Security Center NSA(National Security Agency–ดิฉันมักจะแอบบเรียกชื่อเล่นของหน่วยงานนี่ว่า No Such Agency อยู่บ่อยๆตามหนังสือของ Dan Brown อิอิอิ) ว่ากันว่า เครื่องมือที่เค้าใช้สมัยเป็นวัยรุ่นก็คือ แอคเคาทน์ SuperUser ของ Belle Lab
ผลงานเด่น-เขาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ที่สร้าง worm ขึ้นมาเป็นคนแรกของโลก สาเหตุทำขึ้นมาก็ไม่มีอะไรมาก ย้อนกลับไปในช่วงปี 1988 มอริสที่กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัย Cornell อยู่มาวันหนึ่ง เค้าเกิดอยากรู้ขึ้นมาว่า ระบบอินเตอร์เน็ตมีขนาดกว้างใหญ่แค่ไหนก็เลยสร้างเจ้า worm ขึ้นมา(ปัจจุบันมันถูกเรียกว่า MorrisWorm)แล้วปล่อยออกไปในระบบเพื่อศึกษาขนาดของระบบ แต่ปรากฎว่าเจ้า worm นี่เกิด replicate ตัวเองขึ้นมาอย่างรวดเร็วทำให้ระบบต่างๆในเครื่องคอมพิวเตอร์กว่า 6,000 เครื่องทั่วโลกเจ๊งไปซะงั้น
ปัจจุบัน-หลังจากได้รับการลงโทษไปแล้ว เค้าก็เรียนจนได้ Ph.D จาก Harvard และตอนนี้เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่ MIT

2.Kevin Mitnick


สิ่งที่น่าสนใจ-ชื่อในวงการคือ Condor เริ่มงานมาตั้งแต่อายุ10 ขวบ โดยการ crack เว็บไซต์ North American Aerospace Defence Command พออายุ 12ก็จาะระบบ Punch Card ของ Los Angeles BusSystem ทำให้เขาสามารถขึ้นรถเมล์ได้ฟรี และเจาะเข้าไปในระบบโทรศัพท์ด้วย
ผลงานเด่น-เขาเริ่มเป็นที่ต้องการตัวของทางการเมื่อริอ่านเจาะเข้าไปในระบบของ Digital Equibment Corperation เพื่อขโมย software และมีเป้าหมายที่จะเจาะเข้าไปในระบบของบริษัทเคลื่อนที่ยักษ์ใหญ่ อย่าง Nokia และ Motorolla
สาเหตุที่ถูกจับ- hack เข้าไปในเครื่องของ Tsutomu Shiomura ทำให้ Shiomura เข้าร่วมมือกับ FBI ในการตามจับตัวเค้าจนทำให้ Shiomura กลายเป็นอีกหนึ่งตำนาน White hat ในฝั่งเอเชีย
ปัจจุบัน-เขียนหนังสือเกี่ยวกับ hacker และเป็นที่ปรึกษาในด้านระบบควมปลอดภัยด้านคอมพิวเตอร์ให้กับบริษัทต่างๆ

3.Adrian Lamo


สิ่งที่น่าสนใจ-เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘The homeless hacker’ เพราะว่าเค้ามักจะอาศัยอยู่ในตึกร้างที่ไม่มีใครสนใจ และมักจะแฮ็กระบบผ่านทาง laptop,อินเตอร์เน็ต คาเฟ่ และตามเครื่องคอมตามห้องสมุุดสาธารณะ
ผลงานเด่น-เจาะเข้าไปในระบบของ หนังสือ พิมพ์ The New York Times และเอาชื่อตัวเองเข้าไปใส่ไว้ในแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ระดับสูงของหนังสือ พิมพ์ The New York Timesและใช้บัญชีของนักเขียนชื่อดัง LexisNexisในการค้นคว้างานวิจัยจากฐานข้อมูลของ The New York Times อีกด้วย นอกจากนี้ก็ยังมี Microsoft ,Yahoo , Bank of America และ CitiGroup
ปัจจุบัน-ทำงานเป็นนักข่าวและนักพูด เกี่ยวกับวงการ Hackerและพึ่งจะได้รับรางวัลนักข่าวยอดเยี่ยมมาไม่นานนี้เอง

4.Gary McKinnon -ชื่อในวงการ คือ Solo


ผลงาน-แฮ็กเข้าไปในระบบของ US Government ทั้ง U.S. Department of Defense,กลาโหม,นาวิกโยธิน และ นาซ่า เพื่อที่จะหาหลักฐานเกี่ยวกับ ประสิทธิภาพที่แท้จริงของเชื้อเพลิงในยานมนุษย์ต่างดาว!!!!
สิ่งที่น่าสนใจ-แม็คคินนอนเชื่อว่าสหรัฐอเมริกาได้ซ่อนความลับเกี่ยวกับเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาวไว้ ซึ่งเทคโนโลยีนั้นสามารถช่วยแก้ปัญหาวิกฤตพลังงานของโลกได้ .เขาบอกว่าได้ทะลุทะลวงไปจนพบโครงการที่นำ เทคโนโลยีจากมนุษย์ต่างดาวมาใช้จริง อีกทั้งเขายังพบข้อมูลนักวิทยาศาสตร์รายหนึ่งของนาซาที่รายงานว่าศูนย์อวกาศ จอห์นสัน มีอุปกรณ์บันทึกภาพถ่ายดาวเทียมความละเอียดสูง เอาไว้คอยจับภาพยูเอฟโอหลังจากพบร่องรอยบนท้องฟ้า ซึ่งแม็คคินนอนก็จัดการล้วงข้อมูลเป็นที่เรียบร้อย แม็คคินนอนอ้างว่า สิ่งที่เค้าเห็นน่าจะเป็นดาวเทียมหรือไม่ก็ยาน อวกาศ แต่ลักษณะแบบนั้นไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนมันเหมือนกับชิ้นเหล็กท่อนใหญ่ที่ ไม่มีตำหนิใดๆ เลย และน่าจะอยู่ใต้ผืนโลก อีกทั้งไม่มีรอยต่อของวัตถุหรือหมุดยึดตัววัตถุแต่อย่างใด
นอกจากนี้เค้ายังได้พูดอีกว่า การแฮกกิงของเขานั้นทำไปตามหลัก มนุษยธรรม เพื่อต้องการหาหลักฐานเกี่ยวกับยูเอฟโอที่ถูกปกปิดไว้ และนำมาเผยแพร่สู่สาธารณชน

5.Raphael Gray -ชื่อในวงการ Curador


ผลงาน-เจาะเข้าไปใน เว็บไซต์ e-commerce ต่างๆแล้วขโมยข้อมูลหมายเลขบัตรเครดิตของลูกค้ามากว่า 26,000 หมายเลข แล้วโพสต์ขึ้นบนเว็บเพจของตนเอง
สิ่งที่น่าสนใจ-เกรย์เรียกตัวเองว่า The saint(of e-commerce) เขาอ้างว่าการที่แฮ็กเข้าไปในเว็บไซต์เหล่นั้นก็เพื่อที่จะให้การช่วยเหลือเว็บต่างๆเหล่านั้น(ช่วยยังไงมิทราบยะ) และนอกจากนี้หนึ่งในหมายเลขบัตรเครดิตที่เขาขโมยมาก็เป็นของคนดังในโลกของไอที ที่มีชื่อว่า บิล เกตต์ และเกรย์ก็ได้จัดการส่งยาเม็ดไวอากร้า(!?!) ไปยังที่อยู่ของบิล เกตต์และนำมาโพสต์ลงบนเว็บไซต์อีกต่างหาก (แสบจริงๆ)

6.John Draper–มีนามแฝงว่า Cap’n Crunch


ผลงาน-ในช่วง ทศวรรษ 1970 เขาได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งการ crack โทรศัพท์(phone phreaking) เพราะในขณะนั้น ยังเป็นยุคที่ยังไม่มีอินเตอร์เน็ตและ PC ระบบที่ถือว่าใหญ่ที่สุดก็คือระบบโทรศัพท์และ Draper ก็ถือว่าเป็นเทพในด้านนี้
สิ่งที่น่าสนใจ-อุปกรณ์ที่ใช้ในการ crack โทรศัพท์ของDraper คือ หลอดพลาสติกที่อยู่ในกล่องซีเรียล(!?!)–ซึ่งก็คือข้าวโพดเกล็ดที่เรากินกับนมนี่ล่ะ จากยี่ห้อ Cap’n Crunch cereal พลาสติกอันที่เค้าใช้เรียกว่า whistle หรือเครื่องเป่า ซึ่งจะทำให้เกิดคลื่นเสียงขนาด 2600 Hz ร่วมกับใช้ Bluebox ทำให้เค้าสามารถโทรศัพท์ได้ฟรี (ช่างคิดจริงๆ)
แถมๆ หน้าตาของซีเรียลยี่ห้อ Cap’n Crunch ฮ่าๆๆ อยากโพสต์ให้ดูเพราะดิฉันว่ากล่องมันน่ารักดีอ่ะ ^_^

7.Kevin Poulsen –ชื่อในวงการคือ Dark Dante


ผลงาน-บุกรุกเข้าเว็บไซต์แทบทุกประเภท ที่เด่นๆก็คือ เจาะระบบฐานข้อมูลและระบบดักฟังของของ FBI
สิ่งที่น่าสนใจ-เค้าเคยใช้ความสามารถพิเศษในการควบคุมระบบโทรศัพท์ของ Pacific Bellได้ เจาะเข้าไปในระบบโทรศัพท์ของสถานีวิทยุ KIIS-FM ใน LA ทำให้เค้าชนะการเล่นเกมส์และได้รางวัลมาเป็นรถ Porche!!! เอามาขับเล่นสบายใจพี่เค้าไป
ปัจจุบัน-เป็น นักข่าวอาวุโสของสำนักข่าว Wired Newsและคอยช่วยเหลือในการไล่จับพวก BlackHat คนอื่นๆ

8.Dmitri Galushkevich
ผลงาน-เป็นhacker ชาวรัสเซียที่อาศัยอยู่ในเอสโทเนีย เค้ารู้สึกผิดหวังจากการที่อนุสาวรีย์บรอนซ์ของทหารรัสเซียที่เสียชีวิตในเอสโทเนียในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองถูกย้ายที่ เลยทำhack เข้าไปโจมตีระบบของ รัฐบาล,พรรคการเมืองต่างๆ,หนังสือพิมพ์ และสถาบันเศรษฐกิจ ทำให้ทั้งประเทศตกอยู่ในสภาพ “internet gridlock”–คือทั้ง ATM,เว็บไซต์ และระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐบาลอยู่ในสภาพที่ใช้การไม่ได้ แถมบางเว็บก็รีไดเร็คไปยังภาพของทหารโซเวียต และอ้างอิงถึง Martin Luther King เกี่ยวกับการ “ต่อต้านสิ่งชั่วร้าย”อีกต่างหาก

9.Jonathan James -ชื่อในวงการ คือ c0mrade


ผลงาน-เจาะระบบมากมาย ตั้งแต่บริษัทโทรศัพท์ BellSouthไปจนถึงหน่วยงาน DTRA ในกระทรวงกลาโหมสหรัฐ และที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปี 1999 เขาได้ Hack เข้าไปฝังตัว Backdoor ใน Nasaซึ่งทำให้อ่านข้อมูลลับได้มากมายรวมไปถึงขโมยโปรแกรมที่ทาง Nasaพัฒนาขึ้นด้วยเงินมหาศาลถึง 1.7 ล้านดอลล่าร์สหรัฐไปอีกด้วยซึ่งในภายหลังทาง Nasa ต้องปิดระบบถึงสามสัปดาห์เพื่อแก้ไขทำให้สูญเสียเงินไปอีก 41,000 ดอลล่าร์สหรัฐ
สิ่งที่น่าสนใจ-ตอนที่โดนจับ James มีอายุเพียง 15 ปี(!?!) และเค้าได้ให้การกับศาลว่าแค่อยากได้โปรแกรมมาเพื่อฝึกฝีมือภาษา C ของตัวเองเท่านั้นแต่พอขโมยมาได้ ก็กลับถามว่าโปรแกรมห่วยๆนั่นมีค่าถึง 1.7ล้านดอลล่าร์เลยเหรอ(ช่างกล้า)

10.The Deceptive Duo -หรือคู่หูจอมหลอกลวง ประกอบไปด้วยสมาชิก 2 คนคือ Benjamin Stark อายุ 20 c]t Robert Lyttle อายุ 18 ปี
ผลงาน-เจาะระบบของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ซึ่งรวมถึง นาวิกโยธิน,นาซา,FAA(ทบวงการบินพลเรือน)และ กระทรวงกลาโหม โดยพวกเค้าให้เหตุผลว่าที่ทำไปก็เพื่อเปิดเผยความล้มเหลวของระบบรักษาความปลอดภัย และต้องการปกป้องประเทศจากสงครามภายหลังเหตุการณ์ 911
นี่คือ 10 Hacker ระดับโลกที่ใช้ความรู้ของตนเองในการก่อความเสียหายให้กับระบบคอมพิวเตอร์ (แม้ว่าบางทีอาจจะเกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ?)

ที่มา : http://suntos.wordpress.com/2009/12/05/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%AE%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C-10-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%82/

หลังจากเป็นการสรุป 10 เรื่องของโลกในเรื่องต่างๆ มาซักพัก ก็เปลี่ยนแนวมาเป็นเรื่องอื่นๆซักหน่อยแต่ยังเป้นเรื่องที่มีเนื้อหาสาระที่ทุกคนอาจจะอยากรู้

หมู่บ้านอัมบาริต้าบนเกาะซาโมซีร์

เคยได้ยินตำนานมนุษย์กินคนแห่งหมู่เกาะโซโลมอน เกาะที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นหมู่เกาะที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์ จึงได้ชื่อว่าไข่มุกแห่งแปซิฟิค ฉันก็ยังเฉยๆ เพราะคิดว่าคงหาโอกาสไปที่นั้นได้ยากยิ่ง คงไม่มีวาสนาจะได้ไปยลโฉมเหล่ามนุษย์กินคนยังดินแดนแห่งนั้น

แต่ไม่นึกไม่ฝันว่ามาวันหนึ่งจะได้มายืนอยู่บน "เกาะซาโมซีร์" ( Samosir ) เกาะกลางทะเลสาบโทบา แห่งเมืองเมดาน ประเทศอินโดนีเซีย เกาะที่มีประวัติศาสตร์เลื่องลือเรื่องมนุษย์กินคน แถมยังอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภูมิภาคเดียวกับเราเสียด้วย

บ้านเก่าแก่ที่หมู่บ้านโดกัน

ฉันขอบอกเล่าเก้าสิบสักนิดว่า ชาวเกาะซาโมซีร์เป็นกลุ่มชนพื้นเมืองที่มีชื่อเรียกขานว่า "บาตัก" (Batak) ซึ่งในหมู่ชาวบาตักนั้นยังแยกย่อยลงมาได้อีกเป็น 5 กลุ่มใหญ่และอีกหลายกลุ่มย่อย กลุ่มใหญ่ก็คือ โทบา (Toba) ปัก ปัก (Pak Pak) สิมาลุงกัน (Simalungun) คาโร (Karo) และ เมนดาลิง (Mandailing) ซึ่งจะมีอาณาเขตที่อยู่อาศัยอย่างชัดเจน ในแต่ละกลุ่มจะมีราชาหรือผู้นำเผ่าของตน ชาวบาตักนั้นมีความเชื่อที่เข้มแข็งในเรื่องเวทมนต์ ภูตผี ปีศาจ คาถา แม่มด หมอผี วิญญาณ รวมไปถึงการกินเนื้อมนุษย์เป็นอาหาร

คุณยายชาวบาตักเก็บผักไปเป็นอาหารที่หมู่บ้านโดกัน

จวบจนกระทั่งชาวดัทซ์ล่าอาณานิคมมาจนถึงที่นี่ มิชชันนารีจึงได้เข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ทำให้หลังจากนั้นชาวบาตัก จึงได้เปลี่ยนความเชื่อมานับถือศาสนาคริสต์ รับมาผสมผสานกับความเชื่อดั้งเดิมและเลิกกินมนุษย์ ซึ่งในปัจจุบันอาชีพที่ชาวบาตักยึดเป็นอาชีพหลักคือ การประมง งานหัตถกรรมที่มีฝีมือดีเยี่ยมไม่เป็นสองรองใคร และเมื่อเกาะซาโมซีร์เริ่มมีชื่อเสียงเป็นแหล่งท่องเที่ยว ก็มีชาวบาตักจำนวนไม่น้อยที่หันมาทำอาชีพค้าขายกับนักท่องเที่ยว

คุณป้าคุณลุงชาวบาตักเจ้าของบ้านเก่าแก่ที่หมู่บ้านโดกัน

อันนี้จริงแล้วตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเกาะ ฉันก็ได้แวะไปชิมลางสัมผัสวิถีแห่งมนุษย์กินคนมาบ้าง ที่เมือง "บราสตากี้" (Berastagi) เมื่อเดินทางไปที่หมู่บ้าน "โดกัน" (Dokan) ซึ่งเป็นบ้านเมืองของชนเผ่า "บาตัก คาโร" (Batak Karo) อีกหนึ่งเผ่าอดีตมนุษย์กินคนมาก่อน
กล่าวกันว่าบรรพบุรุษของพวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่มานานกว่า 1,500 ปีมาแล้ว ในหมู่บ้านมีบ้านโบราณอายุ 200 ปีอยู่ 7 หลัง ลักษณะพิเศษอันโดดเด่น คือ หลังคารูปทรงคล้ายเรือที่จะพบเห็นได้ทั่วไป ทั้งที่นี่และที่เกาะซาโมซีร์ ในบ้านหนึ่งหลังอาศัยกันอยู่เป็นแบบครอบครัวใหญ่ หลายสิบคน ในบ้านแบ่งเป็นสัดส่วนทั้งห้องครัวและห้องนอน


วังกษัตริย์ที่ลองเฮ้าส์

นอกจากนี้ยังแวะไปเที่ยวที่ "บ้านลองเฮ้าท์" (Simalangun Batak Long House) ที่อยู่ห่างออกไป อันเป็นที่อยู่ของชาว "บาตัก สิมาลุงกัน" (Batak Simalungun) ที่นี่มีวังเก่าแก่อายุกว่า 200 ปี สืบทอดแบบรุ่นสู่รุ่น ปกครองผ่านกระแสกาลเวลาด้วยกษัตริย์ 14 องค์ที่สืบทอดกันมา จนกระทั่งกษัตริย์องค์สุดท้ายถูกชาวบ้านสังหารเพราะฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ ลักษณะบ้านเป็นเรือนไม้ทรงหลังคาสูงรูปร่างคล้ายเรือจั่วแหลมๆ อีกเช่นกัน บ้านรูปทรงแบบนี้เป็นเอกลักษณ์ของชาวบาตักที่เห็นได้ทั่วไปนั่นก็คือ การออกแบบหลังคามีลักษณะสูง มีสีดั้งเดิมจะเป็นสีแดง ดำ ขาว ในการสร้างลวดลายแก่บ้าน
ในวัง (ที่ฉันอยากจะเรียกว่ากระท่อมหลังใหญ่เสียมากกว่า) ประกอบด้วย ที่นอน ห้องโถงใหญ่ที่ใช้ทำครัวและเลี้ยงลูก บัลลังก์กษัตริย์หรือที่เรียกว่า Pattangan Raja ตั้งติดอยู่กับห้องประชุมขุนนาง มีห้องแยกต่างหากให้บรรดาสนมท้าวนาง

ท่าเรือที่จะพาไปยังเกาะซาโมซีร์
แต่มันก็ไม่ระทึกใจเท่ากับ การที่ได้มาเจอบรรดาลูกหลานของมนุษย์กินคนบนเกาะซาโมซีร์ สำหรับเผ่าที่อยู่บนเกาะซาโมซีร์ที่เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด เรียกชื่อตามชื่อของทะเลสาบว่า "บาตัก โทบา" (Batak Toba)
บนเกาะซาโมซีร์ เกาะที่อยากจะย้ำอีกสักครั้งว่าใหญ่กว่าประเทศสิงคโปร์ ฉันแวะขึ้นเยี่ยมชมที่ที่หมู่บ้าน "อัมบาริต้า" (Ambarita) หรือ "อาณาจักรไวลากัน" ในอดีต และเป็นเกาะที่ตั้งอยู่กลางทะเลสาบโทบา ชื่อหมู่บ้านนี้แปลว่า ความมีชื่อเสียง ฉันมาที่นี่เพื่อมาดู Stone Chairs ที่มีเรื่องราวเล่าว่าเป็นโต๊ะสำหรับใช้ในการกินคน โดยจะมีโต๊ะหินทั้งหมด 2 ชุด คนที่นั่งกินที่โต๊ะจะเป็นหัวหน้าเผ่าและบรรดาบุคคลสำคัญในเผ่า

เกาะซาโมซีร์ สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในทะเลสาบโทบา
แล้วเอาคนจากไหนมากินล่ะ...
สมัยก่อนบนเกาะเองก็มีการรบพุ่งกันระหว่างเผ่าอยู่เนืองๆ ดังนั้น จึงมีเชลยศึกหรือบรรดานักโทษถูกนำตัวมาให้เป็นอาการอันโอชะอยู่เสมอ ที่ Stone Chairs จะมีการสาธิตวิธีการฆ่า (ฆ่าปลอมไม่ได้ฆ่าจริง) ให้ดูเป็นตัวอย่างด้วย

ลีลาซุกซนของเด็กๆ ชาวบาตัก โทบา บนเกาะซาโมซีร์

โดยจะมัดผู้ถูกสำเร็จโทษแล้ววางไว้บนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง พร้อมทั้งปิดตาใช้มีดปัดแขนขานักโทษเพื่อดูดพลังชีวิตให้ออกจากร่างกายไป จากนั้นพาไปผ่าท้องเพื่อเอาเครื่องในไปให้คนในหมู่บ้านกินกันสดๆ ตัดหัวเพื่อเอาเลือดไปให้กษัตริย์ดื่มกิน คนเป็นกษัตริย์จะถือไม้เท้าอาญาสิทธิ์เป็นสัญลักษณ์ ส่วนหัวที่ถูกตัดจะนำไปแช่ในทะเลสาบ 7 วัน ไม่รู้กี่ชีวิตที่ต้องสังเวย คิดแล้วฉันอดขนลุกไม่ได้
หมู่บ้านนี้อยู่ภายใต้การปกครองของตระกูล Sailagan บ้านของกษัตริย์ชายมี "หน้าต่างบานเล็ก" อยู่หน้าบ้าน ส่วนบ้านเจ้าหญิงมี "นม" อยู่หน้าบ้านหลายเต้าเชียว "นม" คือค่านิยมเฉพาะของที่นี่ จะเกี่ยวข้องต่อการเลือกผู้หญิงมาเป็นภรรยาหรือลูกสะใภ้ เพราะเชื่อว่าต้องดูนมเป็นหลัก ยิ่งใหญ่ยิ่งดีเนื่องจากสมัยโบราณจะต้องใช้นมเลี้ยงลูกหลายคน จึงเป็นที่มาของความนิยมหญิงที่หน้าอกใหญ่

จิ้กจกและนมสัญลักษณ์ของซาโมซีร์
ส่วนคุกและที่ทรมานนักโทษอยู่ใต้ถุนบ้าน ตรงกลางหมู่บ้านเป็นที่ตั้งของศาลตัดสินคดีความ ถัดไปเป็นลานประหารและอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่หมู่บ้านอัมบาริต้านี้เหมาะสำหรับคนชอบซื้อของที่ระลึก โดยเฉพาะของที่ผลิตกับมือ เช่น ตุ๊กตาสลักจากไม้ พิณไม้ รองเท้าสาน ราคาถูกฝีมือดี
อ้อ...บนเกาะซาโมซีร์มีสัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์ที่เราสามารถพบเห็นได้ทั่วไปด้วย คือ "จิ้งจก" ไม่ได้มีไว้ธรรมดา แต่มีความหมายด้วย หมายถึง การปรับตัวและมิตรภาพของชาวเกาะ

ที่พักสไตล์บ้านบาตักบนเกาะซาโมซีร์

บนเกาะเดียวกันฉันมุ่งหน้าต่อเพื่อไปหมู่บ้าน "โตโม๊ะ" (Tomok) ชื่อหมู่บ้านแปลว่า หมู่บ้านคนอ้วน เพื่อชมสุสาน "กษัตริย์ซีดาบุตรา" (Raja Sidabutar) สุสานเก่าแก่ 200 กว่าปี สุสานแห่งตระกูลราชาจอมขมังเวทย์ ที่กล่าวกันว่าสามารถเรียกลมเรียกฝนได้ มีคาถาแกร่งกล้า
หมู่บ้านนี้ดูใหญ่และเจริญตา มีสินค้าของที่ระลึกเรียงรายเต็มตลอดสองข้างทาง ตัวหมู่บ้านมีอายุกว่า 460 ปี ส่วนตัวสุสานที่ฉันเดินทางมาเยี่ยมชมนั้น ก่อนเข้าชมต้องเข้าซุ้มรับผ้าสไบจากผู้ดูแลสุสานมาพาดบ่า แล้วเดินขึ้นบันไดไปบนเนินเล็กๆ การรับผ้ามาพาดบ่านี้เป็นธรรมเนียมที่ผู้มาสุสานนี้ต้องปฏิบัติตามทุกคน เพราะหมายถึงการเข้าเฝ้าฯ ต่อหน้ากษัตริย์

การสาธิตวิธีฆ่าคนก่อนกิน

ในสุสานมีโลงศพหินเรียงรายตั้งอยู่หลายขนาด แต่โลงที่สำคัญคือโลงของกษัตริย์สามองค์ คือ 1.Oppu Ratu Sidabutar 2.Oppu Solompuan Sidabutar องค์ที่สองนี้มีคู่หมั้นที่งดงามเป็นที่หมายปองของผู้นำชนเผ่าอื่นชื่อ อันติงมาไลลา (Anting Malela By Sinaga) คงเพราะความงามเป็นเหตุทำให้ถูกเวทย์มนต์จนเป็นบ้า หนีหายเข้าป่าไปตามหาไม่เจอ เมื่อกษัตริย์องค์ที่สองสิ้น จึงปั้นรูปนางไว้บนฝาโลงศพ รูปปั้นของกษัตริย์องค์ที่สองนี้มักจะมีผู้คนไปอธิษฐานขอพรอยู่เสมอ ส่วนวิธีอธิษฐานนั้นก็ให้กระซิบริมหูของรูปปั้นกษัตริย์ ส่วนองค์ที่สาม Ompu Sor: Buntu Sidabutar เป็นกษัตริย์ที่เปลี่ยนการนับถือภูต ผี มานับถือศาสนาคริสต์


สุสานตระกูลซีดาบุตรา

นอกจากสองหมู่บ้านนี้แล้ว บนเกาะซาโมซีร์ยังมีที่พักมากมายไว้สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาพักผ่อน ที่พักส่วนใหญ่จะอยู่ที่หมู่บ้าน "ตุ๊ก ตุ๊ก" (Tuk Tuk) คาดคะเนด้วยสายตา ฉันยังคิดว่าที่พักที่นี่ดูจะมากกว่าคนมาเที่ยวเสียด้วยซ้ำ ที่เป็นแบบนี้คงเพราะเหตุการณ์ภายในของอินโดนีเซีย ทั้งเรื่องการเมืองและภัยพิบัติจากธรรมชาติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งทำให้นักท่องเที่ยวค่อยๆ ห่างหายไปเรื่อยๆ ทั้งที่เมื่อราว 10 กว่าปีก่อนที่นี่เคยขึ้นชื่อเรื่อง Full Moon Party กว่าที่บ้านเราเสียอีก


งานหัตถกรรมที่ชาวบาตักทำไว้ขายนักท่องเที่ยว
นักท่องเที่ยวที่มีเวลามากหน่อย โดยมากแล้วจะนิยมพักที่ ตุ๊ก ตุ๊ก ก่อนจะเช่าจักรยานหรือมอเตอร์ไซค์ขี่วนรอบเกาะ บนถนนที่ตัดเรียบไปตามทะเลสาบ ก่อนที่จะแวะไปหมู่บ้านอัมบาริต้าและหมู่บ้านโตโม๊ะ ส่วนฉันเป็นพวกเวลาน้อยได้มารู้มาเห็น เหยียบแดนมุนุษย์กินคนก็แสนจะคุ้มค่าเกินพอ


ที่มา : http://www.rssthai.com/reader.php?t=lifestyle&r=16157

ตึกเบิร์จ คาลิฟา ตึกที่สูงที่สุดในโลก ณ ปัจจุบัน

ใครที่ชื่นชอบความสูงเร่เข้ามา เพราะฉันจะพาไปเล่นของสูง แต่ไม่ใช่แบบเพลงเล่นของสูงของบิ๊กแอสหรอกนะ แต่เป็นพาไปรู้จักกับตึกที่สูงมากถึงสูงที่สุดในโลกในยุคนี้ พ.ศ.นี้ต่างหาก เพราะเมื่อเร็วๆนี้ที่ดูไบได้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของตึกใหม่ตึกที่สูงที่สุดในโลก ณ ปัจจุบัน (ไม่นับรวมหอคอยชมเมืองและหอส่งสัญญาณโทรทัศน์) ซึ่งก็คือตึก "เบิร์จ ดูไบ" และแน่นอนเมื่อมีการเปิดตัวตึกที่สูงที่สุดในโลกอย่างเป็นทางการ ก็ทำให้ตึก "ไทเป 101" ที่เคยสูงที่สุดในโลกได้ถูกทำลายสถิติไปอย่างเป็นทางการด้วยเช่นกัน
"เบิร์จ ดูไบ" (Burj Dubai ) หรือในปัจุบันได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น "เบิร์จ คาลิฟา" (Burj Khalifa) หรือชื่อเต็มๆว่า "ชีค คาลิฟาร์ บิน ซาย์เอ็ด อัล-นาห์ยัน ทาวเวอร์" ซึ่งตั้งชื่อตามประธานาธิบดีของ UAEเพื่อเป็นการให้เกียรติในฐานะผู้นำประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และผู้นำของนครรัฐอาบู ดาบี
สำหรับสิ่งก่อสร้างที่ฉันมองแล้วมีรูปทรงเรียวยาวแหลมสูงคล้ายจรวดแห่งนี้ เริ่มก่อสร้างขึ้นเป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาขนาดยักษ์ของเมืองดูไบ เมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2547 ออกแบบโดยเอเดรียน สมิธ สถาปนิกชาวชิคาโก ซึ่งเป็นเจ้าเดียวกับผู้ออกแบบ วิลลิสทาวเวอร์ อาคารที่สูงที่สุดในสหรัฐอเมริกา
เบิร์จ คาลิฟา สร้างแล้วเสร็จในวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ที่ผ่านมา และทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553 ที่ผ่านมา ด้วยความสูง 818 เมตร สูงกว่าอาคารไทเป 101เจ้าของสถิติเดิมถึง 309 เมตร ถือเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลกใหม่ล่าสุดในขณะนี้ ไม่เพียงเท่านั้น เบิร์จ คาลิฟา ยังครองสถิติอาคารที่มีจำนานชั้นมากที่สุดคือ 162 ชั้นอีกด้วย
ตึกไทเป 101ไต้หวัน

นอกจากนี้ยังได้ทำลายสถิติหอคอยที่สูงที่สุดในโลกคือหอคอยซีเอ็น ที่โทรอนโท ประเทศแคนาดา ซึ่งมีความสูง 553.3 เมตร และแซงหน้าสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดที่มนุษย์เคยสร้างมา นั่นคือ เสาอากาศโทรทัศน์ KVLY-TV Mast ที่สหรัฐอเมริกาด้วย และเป็นแชมป์สถิติตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในโลกนับถึงชั้นหลังคา โดยสูงถึง 546 เมตร จากเจ้าของสถิติเดิมคืออาคารไทเป 101 ซึ่งสูง 449.2 เมตร อีกทั้งยังได้ครองสถิติปั๊มคอนกรีตทางดิ่งที่สูงที่สุดในโลกสำหรับการก่อสร้างอาคาร ซึ่งสูงถึง 512.1 เมตร โค้นแชม์อาคารไทเป 101 ที่เคยสูง 439.2 เมตร และยังครองสถิติปล่องลิฟต์ที่ยาวที่สุดในโลกคือ 514 เมตร อีกด้วย

แน่นอนว่าตึกที่สูงรองลงมาก็คือ "ไทเป 101" แห่งไต้หวัน ที่สูง 509 เมตร มีจำนวนชั้นทั้งหมด 101 ชั้น ออกแบบโดย ซี.วาย. ลี สถาปนิกชาวไต้หวัน เริ่มสร้างในปี พ.ศ.2543 แล้วเสร็จและเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2547 ไทเป 10เป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างเทคโนโลยีลดอันตรายจากแรงลมอันทันสมัยตามหลักวิทยาศาสตร์ กับการตกแต่งด้วยรูปหัวมังกรที่มุมอาคารทั้ง 4 ด้านทุกปล้องเพื่อขับไล่ภูติผีปิศาจ ตามหลักความเชื่อทางไสยศาสตร์จากคำบอกเล่าของซินแส


เซี่ยงไฮ้เวิลด์ไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์(สูง)สูงลำดับที่ 3 ตั้งคู่กับตึกจินเหมาทาวเวอร์(ต่ำ)ที่สูงลำดับที่ 10 ของโลก
ตึกระฟ้าสูงอันดับ 3 ของโลก คือ "เซี่ยงไฮ้เวิลด์ไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์" ตั้งอยู่ที่นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ตึกแห่งนี้สูง 492 เมตร ประกอบด้วยชั้น 101 ชั้น และชั้นใต้ดินอีก 3 ชั้น สร้างในปี พ.ศ.2540-2551 ถือเป็นอาคารที่สูงที่สุดในประเทศจีน แซงหน้าอาคารจินเหมาซึ่งตั้งอยู่ใกล้เคียง
ตึกอินเตอร์เนชันแนลคอมเมิร์ซเซ็นเตอร์ ฮ่องกง

ลำดับ 4 เป็นตึก "อินเตอร์เนชันแนลคอมเมิร์ซเซ็นเตอร์" บนเกาลูนตะวันตก ในฮ่องกง มี 118 ชั้น สูง 484 เมตร ก่อสร้างในช่วงปี พ.ศ.2550-2553โดยที่ตั้งของตึกนี้เรียกว่า ยูนิออนสแควร์เฟส 7 ส่วนชื่ออินเตอร์เนชันแนลคอมเมิร์ซเซ็นเตอร์นั้น ถูกประกาศอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2548

ตึกแฝดเปโตรนาส ครองอันดับที่ 5 และ6 ร่วม

สำหรับตึกสูงลำดับที่ 5 และ 6 คือตึก"เปโตรนาส" ที่มีความสูง 452 เมตร จำนวน88 ชั้น ออกแบบโดย เซซาร์ เปลลี สร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2541 ตั้งอยู่บริเวณใจกลางย่านธุรกิจของกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เป็นอาคารแฝดมี 2หอคอย ได้รับแรงบันดาลใจจากเสาหินทั้ง 5 ของศาสนาอิสลาม ผสมผสานกับโครงเหล็กที่ห่อหุ้มในแต่ละจุด ทำให้เป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามแปลกตามีสะพานเชื่อมลอยฟ้า (Sky Bridge) ในบริเวณชั้นที่ 41 และ 42ซึ่งจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมวิวทิวทัศในมุมสูงสุดหวาดเสียวได้ฟรี วันละประมาณ 1,000คน โดยจะต้องมารับตั๋วในตอนเช้าก่อนขึ้นชมในแต่ละรอบ และเนื่องจากอาคารแห่งนี้เป็นตึกแฝดมี 2 หอคอย จึงครองอันดับที่ 5 และ 6 ร่วมกัน อีกทั้งยังครองอันดับตึกแฝดที่สูงที่สุดในโลกอีกด้วย


หนานจิงกรีนแลนด์ไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์ ตึกระฟ้าที่สูงเป็นลำดับที่ 7 ของโลก
ตึกสูงอันดับ 7คือตึก "หนานจิงกรีนแลนด์ไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์" มีความสูง 450 เมตร 89 ชั้น ซึ่งเริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ.2551และกำลังก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ โดยสถาปนิกคนเดียวกับผู้สร้าง เบิร์จ คาลิฟา ตึกหลังนี้จะมีดาดฟ้าชมวิวบนชั้นที่ 72 ซึ่งอยู่สูงจากพื้นดิน 287 เมตร สามารถมองเห็นภาพมุมกว้างของเมืองหนานกิงและแม่น้ำแยงซี ทะเลสาบสองแห่ง และภูเขาหนิงเจิงได้เป็นอย่างดี
ตึกวิลลิสทาวเวอร์ ในอเมริกา สูงเป็นลำดับที่ 8ของโลก

ตึกสูงอันดับ 8 ได้แก่"วิลลิสทาวเวอร์"หรือมีชื่อเดิมที่คุ้นหูว่า"เซียรส์ทาวเวอร์"ตั้งอยู่ที่เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา สร้างในปี พ.ศ.2513 แล้วเสร็จในปี พ.ศ.2517 มีความสูง 442 เมตร และมีจำนวนชั้นทั้งสิ้น 108 ชั้น เคยครองตำแหน่งอาคารสูงที่สุดของโลกตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปีพ.ศ. 2518 จนถึงปีพ.ศ. 2548 ก่อนจะเสียตำแหน่งให้กับตึกแฝดเปโตรนาสของมาเลเซีย


ตึกกว่างโจวเวสต์ทาวเวอร์ ตึกที่สูงเป็นอันดับที่ 9 ของโลก
ลำดับที่ 9 ได้แก่ “กว่างโจวเวสต์ทาวเวอร์”ตั้งอยู่ที่เมืองกว่างโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ตึกระฟ้าขนาด 103 ชั้น สูง 440.2 เมตร ตึกได้เริ่มสร้างในปี พ.ศ.2548 และสร้างถึงจุดสูงสุดในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 และมีการเปิดตัวในปี พ.ศ.2552 ที่ผ่านมา

ส่วนตึกสูงเป็นอันดับ 10 ของโลก ได้แก่ "จินเหมาทาวเวอร์" ในนครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน มีความสูง 421 เมตร ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2541 มีจำนวนชั้นทั้งหมด 88 ชั้น ซึ่งคนจีนถือว่าเลข 8 เป็นเลขดีเลขนำโชค รูปแบบการก่อสร้างอาคารแห่งนี้เหมือนกับเจดีย์โบราณของจีน จุดที่นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมวิวได้สูงสุดคือโรงแรมเซี่ยงไฮ้แกรนด์ไฮแอท ในชั้นที่ 53-87 และชั้นที่ 88 จะไม่ใช่พื้นที่ของโรงแรม แต่เป็นส่วนที่เรียกว่า สกายวอล์ค เปิดให้นักท่องเที่ยวเดินเล่นเพื่อดูวิวมุมสูงได้อย่างเต็มที่เลยทีเดียวเมื่อรู้จักกับ 10 อันดับตึกระฟ้าที่สูงที่สุดของโลกปัจจุบันนี้แล้ว ใครที่อยากจะท้าทายความสูงก็สามารถเดินทางไปพิชิตกันได้ ส่วนใครที่ยังกล้าๆกลัวๆก็ลองไปชิมลางกันก่อนได้ที่ "ใบหยก 2 ทาวเวอร์" มหานครกรุงเทพฯ ประเทศไทยของเราได้ ซึ่งตึกใบหยก 2 แห่งนี้สูงเป็นลำดับที่ 47ของโลก ด้วยความสูง 304 เมตร จำนวน 88 ชั้นรวมชั้นใต้ดิน ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2540 ในชั้นที่ 77 และ 84 เป็นชั้นสำหรับชมวิว โดยที่ชั้น 84 เป็นดาดฟ้าหมุนได้รอบ ทั้งสองชั้นนี้เปิดให้เข้าชมระหว่างเวลา 10.30 ถึง 22.00 น.

แต่ในปี 2553 นี้ตึกใบหยก 2 ที่สูงที่สุดในประเทศไทยอาจจะถูกทำลายสถิติ โดยตึก "โอเชี่ยนวัน" (Ocean 1 Tower) คอนโดใจกลางพัทยา ซึ่งปัจจุบันกำลังก่อสร้างมีความสูง91 ชั้น 327 เมตร สูงกว่าตึกใบหยก 2 ถึง 23 เมตร คาดว่าจะเป็นอาคารที่สูงที่สุดในประเทศไทยและเป็นที่พักอาศัยที่สูงที่สุดในโลกอีกด้วย


ที่มา : http://www.rssthai.com/reader.php?t=lifestyle&r=16157

วารสาร ลีฟไลฟ์ นิตยสาร ด้าน วิทยาศาสตร์ และ วิทยาการ จัดอันดับ สุดยอด 10 สัตว์ ที่ถือว่า อันตราย ที่สุดสำหรับ มนุษย์ เป็นครั้งแรก ประเมินจาก ประสบการณ์ ที่ ชาวต่างประเทศ เขาเจอ สัตว์ อันตราย เหล่านี้กันมานักต่อนักแล้ว บางตัว คุ้นหน้าคุ้นตา กันดี หรืออาจเหมือนเป็น สัตว์ ที่ใกล้ตัวเรา แต่เขาบอกว่า อันตราย จริงๆ ถ้าไปยุ่งกับมัน
เมื่อเร็วๆ นี้ ทางวารสาร "ลีฟไลฟ์" นิตยสารด้านวิทยาศาสตร์และวิทยาการ เขาได้จัดอันดับ 10 สัตว์ที่ถือว่าอันตรายที่สุดสำหรับมนุษย์เป็นครั้งแรก ประเมินจากประสบการณ์ที่ชาวต่างประเทศเขาเจอกันมานักต่อนักแล้ว บางตัวคุ้นหน้าคุ้นตากันดี หรืออาจเหมือนเป็นสัตว์ที่ใกล้ตัวเรา แต่เขาบอกว่าอันตรายจริงๆ ถ้าไปยุ่งกับมัน
และนี่ก็คือ 10 อันดับยอดสัตว์อันตรายสำหรับมนุษย์ จากการบอกเล่าของ "ลีฟไลฟ์"

1. ยุง (ร้ายกว่าเสือ)


บางชนิดก็แค่กัดเจ็บๆ ครับ แต่บางชนิดที่แหละร้ายชนิดร้ายกาจต้องพยายามเลี่ยงเอาไว้ เพราะมันสามารถเป็นพาหะนำโรคร้ายสู่มนุษย์ ซึ่งปีหนึ่งๆ พบว่า คนเราตายเพราะยุงเนี่ยได้คร่าประชากรโลกกว่าสองล้านคนทีเดียว

2. กบพิษ"พันธุ์ดารต์"


เจ้ากบที่เห็นเนี่ยไม่เหมาะสำหรับไปจูบมันแน่ๆ ก็เพราะว่า มันสามารถผลิตสารพิษร้ายแรง เพื่อใช้ป้องกันตัวเองจากการถูกคุกคามของสัตว์อื่นๆ เขาบอกว่ากบประเภทนี้แค่ตัวเดียวมีพิษขนาดทำให้คนตายได้ถึง 10 คน!

3. งูเห่าเอเชีย



แม้ว่าดูเหมือนจะไม่ค่อยมีพิษ แต่จริงๆ แล้วมันเนี่ยแหละอันตรายกว่างูสายพันธุอื่น โดยสถิติคนถูกงูกัดตาย 5 หมื่นคนต่อปี ก็ถือว่าอันตรายสำหรับมนุษย์แล้ว

4. แมงกระพรุนออสเตรเลีย


พิษของมันถือว่าอันตรายสุดๆ ด้วยหนวดที่มีเป็นจำนวนมาก ยาวกว่า 15 ฟุต เชื่อไหมว่าหนวดแต่ละเส้นสามารถคร่ามนุษย์ได้กว่า 60 คน

5. ฉลามขาว


อันตรายสุดๆ ถ้าเผชิญหน้ากับมัน คุณมีสิทธิจะโดนเขี้ยวฉลามที่ว่ากันว่ามีถึง 3 พันซี่ขย้ำจนเหลือแต่กระดูก หากไปเที่ยวว่ายน้ำในทะเลแล้วเปิดโอกาสให้มันได้กลิ่นเลือดละก้อ

6. สิงโตแอฟริกา


ถือว่าเป็นสุดยอดของนักล่าของสัตว์บก เพราะทั้งใหญ่โต ว่องไว ฟันก็คมกริบ ว่ากันว่าแค่แมวตัวใหญ่ก็เกือบจะเป็นนักล่าที่สมบูรณ์แบบได้เหมือนสิงโตเลย ทีเดียว

7. จระเข้น้ำเค็ม


อันตรายแน่ๆ ถ้าไปแช่น้ำในทะเลสาปอยู่นานๆ เพราะมันชอบซ่อนอยู่ในหนองน้ำ คอยเหยื่อที่ผ่านมาก่อนจะตะปบ ลากลงน้ำ ก่อนจะขย้ำคุณ จนใครก็จำสภาพไม่ได้ กลายเป็นศพเท่านั้นเอง

8. ช้างแอฟริกาดัมโบ้


แม้ใครจะคิดว่าช้าง เป็นมิตรกับมนุษย์ก็ตาม แต่เจ้าพันธ์ดัมโบ้ นี้ เขาว่ามันดุร้ายอันตรายใช่ย่อย เพราะปีหนึ่งมีคนตายเพราะเจ้าช้างพันธุ์นี้กว่า 500 คนทั่วโลก เพราะน้ำหนักมันถึง 16,000 ปอนด์ เรียกว่ามันเป็นสัตว์หนักที่สุดที่ทับมนุษย์

9. หมีขั้วโลก


แน่ละว่าจริงๆ แล้วมันอาจดูน่ารัก(เหมือนหมีแพนด้า?)ถ้าอยู่ในสวนสัตว์ แต่ในป่าหรือในขั้วโลก บ้านของมันแล้ว มันจะกินลูกแมวน้ำเป็นอาหาร และถ้าสนุกขึ้นคิดจะเล่นกันลูกแมวน้ำแล้ว ถือว่าอันตรายสุดๆ เพราะมันสามารถพุ่งเข้าชนเรา ก่อนจะใช้อุ้งเท้าตบ

10. วัวพันธุ์แอฟริกา


ถ้ามันเจอผู้รุกรานก่อน ก็จะพุ่งจะชาร์จก่อนทันที เอาแค่ว่ามันมีน้ำหนักตัว 1,500 ปอนด์ และมีเขาแหลม 1 คู่ถ้าเจอแค่ตัวเดียวอาจเคราะห์ดีรอดชีวิตได้ แต่ถ้าโชคร้ายคือ มันกรูกันมาเป็นฝูงแล้ว รับรองว่าจะโดนเหยียบขย้ำร่างจนเละเท่านั้นเอง

;;